ติ่มซำ มนต์เสน่ห์อาหารเช้าชาวตรัง
![]() | ![]() | ![]() | ![]() |
![]() | ![]() | ![]() | ![]() |
![]() | ![]() | ![]() | ![]() |
![]() | ![]() | ![]() | ![]() |
เมื่อครั้งอดีตที่การค้าขายเจริญรุ่งเรือง
เป็นยุคทองของการค้า จีน เป็นอีกประเทศที่เข้ามาผูกสัมพันธ์ไมตรีด้านการค้า
เรียกว่าเป็นขาประจำ บ้างก็มาเพื่อการค้าระยะสั้น ๆ
บ้างก็มาแล้วตั้งถิ่นฐานอยู่ที่เมืองไทยไปเสียเลย จึงไม่แปลกที่วัฒนธรรมต่าง ๆ
ของจีน จะถูกนำมาผสมผสานกลายเป็นวัฒนธรรมท้องถิ่นของหลาย ๆ พื้นที่
ไม่เว้นประเพณีการรับประทานอาหาร จนอาหารบางชนิดกลายเป็นอาหารท้องถิ่นที่ขึ้นชื่อ
หนึ่งในนั้นก็คือ ‘ติ่มซำ’
‘ติ่มซำ’ เป็นคำภาษากวางตุ้ง อันเป็นเมืองซึ่งริเริ่มทำอาหารประเภทนี้ หรือในภาษาจีนกลางเรียกว่า ‘เตี่ยนซิน’ แปลว่า อาหารว่าง หากเป็นชาวภูเก็ตบ้านเราก็จะเรียกว่า ‘เสี่ยวโบ๋ย’ ติ่มซำเป็นอาหารคำเล็ก ๆ ที่กินได้เรื่อย ๆ ซึ่งคนทำจะต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ในการทำจนได้เป็นติ่มซำรูปแบบต่าง ๆ ออกมาให้เลือกมากมาย
อีกหนึ่งจังหวัดในภาคใต้ ที่นิยมรับประทานติ่มซำเป็นอาหารเช้าควบคู่กับหมูย่างรสเด็ดขึ้นชื่อของจังหวัด นั่นคือ จังหวัดตรัง จังหวัดที่มี ‘ต้นศรีตรัง’ พันธุ์ไม้มงคลพระราชทาน เป็นเอกลักษณ์ของจังหวัด ต้นศรีตรังนั้นมีดอกสีม่วงอ่อน ที่เมื่อถึงฤดูผลิดอกออกใบ ดอกจะเต็มต้นแทนที่ใบไม้สีเขียว ทำให้ผู้คนที่ผ่านไปมา ต้องตกอยู่ในมนต์เสน่ห์ดั่งซากุระเมืองไทยเลยทีเดียว นอกจากความงดงามของดอกไม้ที่แสดงถึงความอุดมสมบูรณ์ทางธรรมชาติของจังหวัดตรังแล้ว วันนี้ทีมงานจะพาท่านผู้อ่าน ไป ‘นั่งกินติ่มซำ จิบน้ำชา กาแฟ’ พร้อมชมดอกศรีตรังที่บ้านสะพรั่งทั้งเมืองกันค่ะ
ร้านเรือนไทยติ่มซำ ซึ่งถือเป็นร้านเก่าแก่ที่มีชื่อเสียง และคุณภาพอาหารก็ยังครองใจคนตรัง พิสูจน์ได้จากจำนวนลูกค้าที่แน่นขนัดในยามเช้าเรื่อยไปจนถึงยามสาย อย่าตกใจถ้าคุณต้องเล่นเก้าอี้ดนตรีกับผู้คนจำนวนมาก ก่อนที่จะได้ลิ้มลองความอร่อยของอาหารเช้าชาวตรัง ณ ที่แห่งนี้
แต่ระหว่างรอโต๊ะว่างนั้นเรามีตำนานของติ่มซำมาฝากผู้อ่านหลายตำนานด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น......
ตำนานที่ว่ามีผู้ใช้แรงงานในสมัยก่อนคนหนึ่งได้คิดที่จะทำอาหารไว้กินเล่น โดยนำแป้งมานวดแล้วก็ปั้นให้พอดีคำ เพราะว่าเป็นของแปลกใหม่ ทำให้ในสมัยนั้นขนมชนิดนี้จึงได้รับความนิยมมากในหมู่ชาวบ้าน ชื่อเสียงดังจนฮ่องเต้ทรงเรียกกรรมกรผู้นั้นไปทำให้เสวย แล้วก็ทรงพอพระทัยเป็นอย่างมาก จึงให้กรรมกรคนนั้นเข้ามาเป็นพ่อครัวประจำวังหลวงเลยทีเดียว และตั้งแต่นั้นมาก็ได้รับความนิยมไปทั่ว มีการดัดแปลงใส่ไส้ต่าง ๆ เพิ่มลงไป
หรืออีกตำนานที่ว่าเมื่อก่อนมีคาราวานพ่อค้าเดินทางผ่านมาเส้นทางสายไหม และมักจะหยุดพักผ่อนตามร้านน้ำชาที่มีอยู่ทั่วไปบนถนนสายนี้ พอหยุดพักทีนอกจากดื่มน้ำชา แล้วก็ยังสั่งอาหารว่างเพื่อกินคู่กับน้ำชาอีกด้วย ทำให้บรรดาพ่อค้าร้านน้ำชาต้องคิดหาอาหารกินเล่นต่าง ๆ ขึ้นมาเพื่อรองรับ และนี่ก็ทำให้เป็นที่มาของติ่มซำที่กลายเป็นอาหารที่นิยมมาจนถึงปัจจุบัน
จากตำนานและที่มาดังกล่าวจึงส่งผลให้ทางตอนใต้ของประเทศไทยเรา มีร้านอาหารเช้าประเภทติ่มซำจำนวนมาก เนื่องมาจากการทำการค้าระหว่างประเทศ รวมไปถึงการอพยพของชาวต่างชาติที่เข้ามายังประเทศไทยตั้งแต่สมัยก่อนนั่นเอง และร้านติ่มซำที่เราได้ยืนรอคิวอยู่เบื้องหน้านี้ก็เป็นผลพวงมาจากตำนานดังกล่าว
“เชิญครับ” เสียงแว่วมาจากชายหนุ่มด้านข้างของเราดังขึ้น... ในที่สุดเราก็ได้โต๊ะว่างแล้วค่ะ
‘ร้านเรือนไทยติ่มซำ’ แห่งนี้ ตั้งอยู่บริเวณถนนเพลินพิทักษ์ ในตัวเมืองจังหวัดตรัง ภายในร้านถูกตกแต่งให้โล่ง สะอาดตา สบายใจ แบบจีนสมัยใหม่ ต้อนรับทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ที่มาเป็นครอบครัว ไปจนถึงมาเป็นคณะ คุณธีระศักดิ์ จึงจงจิตต์ เจ้าของร้านเรือนไทยติ่มซำ บอกเล่าให้เราฟังว่า “ร้านผมเปิดมาเป็นเวลากว่า 10 ปีแล้ว ซึ่งมีการพัฒนารูปแบบร้านตามยุคตามสมัย แต่สิ่งหนึ่งที่ทางร้านให้ความใส่ใจนั่นคือ รสชาติและรูปลักษณ์อันเป็นเอกลักษณ์ของติ่มซำ คือ อาหารที่จัดใส่ในจานขนาดเล็ก เมื่อลูกค้าเลือก ก็จะนำไปนึ่งในเข่งไม้ไผ่ พร้อมเสิร์ฟ ซึ่งในร้านก็จะมีติ่มซำให้เลือกหลายหลากชนิด อาทิ ติ่มซำกุ้งสับห่อสาหร่าย ติ่มซำกุ้งสับหน้าเห็ด หน้าไส้กรอก ติ่มซำหมูสับหน้าไข่เยี่ยวม้า ขนมจีบกุ้ง ขนมจีบหมู ฯลฯ และของทอดที่มีให้เลือกมากมาย เช่น เผือกทอด เกี้ยนไข่เค็มทอด จ้อต่าง ๆ รวมถึงหมูย่างเมืองตรัง ที่ถูกสั่งมาทานควบคู่กันเสมอ”
หันซ้ายหันขวา มองไปรอบ ๆ ร้าน ก็จริงอย่างที่คุณธีระศักดิ์ว่า ทุกโต๊ะล้วนมีทั้งติ่มซำนานาชนิด ชาร้อน ชาเย็น กาแฟ รวมถึง หมูย่างเมืองตรัง ของอร่อยที่กินได้กับทุกเมนูเหมาะกับทุกเพศทุกวัยแต่ละโต๊ะ มีไม่ต่ำกว่า 2 จานเลยก็ว่าได้
ร้านนี้เปิดให้บริการทุกวันตั้งแต่ 6 โมงเช้า ถึง 11 โมง เรียกว่า เป็นอาหารเช้าจริง ๆ เพราะเมื่อถึงเวลาเปิดร้าน ทั้งขาประจำและขาจรก็หลั่งไหลเข้ามาอย่างไม่ได้นัดหมาย เพื่อมาลิ้มลองติ่มซำเจ้าอร่อยของจังหวัดตรัง ทำให้ร้านดูครึกครื้นไปพร้อมกับดวงตะวันที่ค่อย ๆ โผล่พ้นขอบฟ้า
‘ติ่มซำ’ เป็นคำภาษากวางตุ้ง อันเป็นเมืองซึ่งริเริ่มทำอาหารประเภทนี้ หรือในภาษาจีนกลางเรียกว่า ‘เตี่ยนซิน’ แปลว่า อาหารว่าง หากเป็นชาวภูเก็ตบ้านเราก็จะเรียกว่า ‘เสี่ยวโบ๋ย’ ติ่มซำเป็นอาหารคำเล็ก ๆ ที่กินได้เรื่อย ๆ ซึ่งคนทำจะต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ในการทำจนได้เป็นติ่มซำรูปแบบต่าง ๆ ออกมาให้เลือกมากมาย
อีกหนึ่งจังหวัดในภาคใต้ ที่นิยมรับประทานติ่มซำเป็นอาหารเช้าควบคู่กับหมูย่างรสเด็ดขึ้นชื่อของจังหวัด นั่นคือ จังหวัดตรัง จังหวัดที่มี ‘ต้นศรีตรัง’ พันธุ์ไม้มงคลพระราชทาน เป็นเอกลักษณ์ของจังหวัด ต้นศรีตรังนั้นมีดอกสีม่วงอ่อน ที่เมื่อถึงฤดูผลิดอกออกใบ ดอกจะเต็มต้นแทนที่ใบไม้สีเขียว ทำให้ผู้คนที่ผ่านไปมา ต้องตกอยู่ในมนต์เสน่ห์ดั่งซากุระเมืองไทยเลยทีเดียว นอกจากความงดงามของดอกไม้ที่แสดงถึงความอุดมสมบูรณ์ทางธรรมชาติของจังหวัดตรังแล้ว วันนี้ทีมงานจะพาท่านผู้อ่าน ไป ‘นั่งกินติ่มซำ จิบน้ำชา กาแฟ’ พร้อมชมดอกศรีตรังที่บ้านสะพรั่งทั้งเมืองกันค่ะ
ร้านเรือนไทยติ่มซำ ซึ่งถือเป็นร้านเก่าแก่ที่มีชื่อเสียง และคุณภาพอาหารก็ยังครองใจคนตรัง พิสูจน์ได้จากจำนวนลูกค้าที่แน่นขนัดในยามเช้าเรื่อยไปจนถึงยามสาย อย่าตกใจถ้าคุณต้องเล่นเก้าอี้ดนตรีกับผู้คนจำนวนมาก ก่อนที่จะได้ลิ้มลองความอร่อยของอาหารเช้าชาวตรัง ณ ที่แห่งนี้
แต่ระหว่างรอโต๊ะว่างนั้นเรามีตำนานของติ่มซำมาฝากผู้อ่านหลายตำนานด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น......
ตำนานที่ว่ามีผู้ใช้แรงงานในสมัยก่อนคนหนึ่งได้คิดที่จะทำอาหารไว้กินเล่น โดยนำแป้งมานวดแล้วก็ปั้นให้พอดีคำ เพราะว่าเป็นของแปลกใหม่ ทำให้ในสมัยนั้นขนมชนิดนี้จึงได้รับความนิยมมากในหมู่ชาวบ้าน ชื่อเสียงดังจนฮ่องเต้ทรงเรียกกรรมกรผู้นั้นไปทำให้เสวย แล้วก็ทรงพอพระทัยเป็นอย่างมาก จึงให้กรรมกรคนนั้นเข้ามาเป็นพ่อครัวประจำวังหลวงเลยทีเดียว และตั้งแต่นั้นมาก็ได้รับความนิยมไปทั่ว มีการดัดแปลงใส่ไส้ต่าง ๆ เพิ่มลงไป
หรืออีกตำนานที่ว่าเมื่อก่อนมีคาราวานพ่อค้าเดินทางผ่านมาเส้นทางสายไหม และมักจะหยุดพักผ่อนตามร้านน้ำชาที่มีอยู่ทั่วไปบนถนนสายนี้ พอหยุดพักทีนอกจากดื่มน้ำชา แล้วก็ยังสั่งอาหารว่างเพื่อกินคู่กับน้ำชาอีกด้วย ทำให้บรรดาพ่อค้าร้านน้ำชาต้องคิดหาอาหารกินเล่นต่าง ๆ ขึ้นมาเพื่อรองรับ และนี่ก็ทำให้เป็นที่มาของติ่มซำที่กลายเป็นอาหารที่นิยมมาจนถึงปัจจุบัน
จากตำนานและที่มาดังกล่าวจึงส่งผลให้ทางตอนใต้ของประเทศไทยเรา มีร้านอาหารเช้าประเภทติ่มซำจำนวนมาก เนื่องมาจากการทำการค้าระหว่างประเทศ รวมไปถึงการอพยพของชาวต่างชาติที่เข้ามายังประเทศไทยตั้งแต่สมัยก่อนนั่นเอง และร้านติ่มซำที่เราได้ยืนรอคิวอยู่เบื้องหน้านี้ก็เป็นผลพวงมาจากตำนานดังกล่าว
“เชิญครับ” เสียงแว่วมาจากชายหนุ่มด้านข้างของเราดังขึ้น... ในที่สุดเราก็ได้โต๊ะว่างแล้วค่ะ
‘ร้านเรือนไทยติ่มซำ’ แห่งนี้ ตั้งอยู่บริเวณถนนเพลินพิทักษ์ ในตัวเมืองจังหวัดตรัง ภายในร้านถูกตกแต่งให้โล่ง สะอาดตา สบายใจ แบบจีนสมัยใหม่ ต้อนรับทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ที่มาเป็นครอบครัว ไปจนถึงมาเป็นคณะ คุณธีระศักดิ์ จึงจงจิตต์ เจ้าของร้านเรือนไทยติ่มซำ บอกเล่าให้เราฟังว่า “ร้านผมเปิดมาเป็นเวลากว่า 10 ปีแล้ว ซึ่งมีการพัฒนารูปแบบร้านตามยุคตามสมัย แต่สิ่งหนึ่งที่ทางร้านให้ความใส่ใจนั่นคือ รสชาติและรูปลักษณ์อันเป็นเอกลักษณ์ของติ่มซำ คือ อาหารที่จัดใส่ในจานขนาดเล็ก เมื่อลูกค้าเลือก ก็จะนำไปนึ่งในเข่งไม้ไผ่ พร้อมเสิร์ฟ ซึ่งในร้านก็จะมีติ่มซำให้เลือกหลายหลากชนิด อาทิ ติ่มซำกุ้งสับห่อสาหร่าย ติ่มซำกุ้งสับหน้าเห็ด หน้าไส้กรอก ติ่มซำหมูสับหน้าไข่เยี่ยวม้า ขนมจีบกุ้ง ขนมจีบหมู ฯลฯ และของทอดที่มีให้เลือกมากมาย เช่น เผือกทอด เกี้ยนไข่เค็มทอด จ้อต่าง ๆ รวมถึงหมูย่างเมืองตรัง ที่ถูกสั่งมาทานควบคู่กันเสมอ”
หันซ้ายหันขวา มองไปรอบ ๆ ร้าน ก็จริงอย่างที่คุณธีระศักดิ์ว่า ทุกโต๊ะล้วนมีทั้งติ่มซำนานาชนิด ชาร้อน ชาเย็น กาแฟ รวมถึง หมูย่างเมืองตรัง ของอร่อยที่กินได้กับทุกเมนูเหมาะกับทุกเพศทุกวัยแต่ละโต๊ะ มีไม่ต่ำกว่า 2 จานเลยก็ว่าได้
ร้านนี้เปิดให้บริการทุกวันตั้งแต่ 6 โมงเช้า ถึง 11 โมง เรียกว่า เป็นอาหารเช้าจริง ๆ เพราะเมื่อถึงเวลาเปิดร้าน ทั้งขาประจำและขาจรก็หลั่งไหลเข้ามาอย่างไม่ได้นัดหมาย เพื่อมาลิ้มลองติ่มซำเจ้าอร่อยของจังหวัดตรัง ทำให้ร้านดูครึกครื้นไปพร้อมกับดวงตะวันที่ค่อย ๆ โผล่พ้นขอบฟ้า
![]() | ![]() | ![]() | ![]() |
![]() | ![]() | ![]() | ![]() |
![]() | ![]() | ![]() | ![]() |
![]() | ![]() | ![]() | ![]() |
แต่ถึงยังไง สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น
สิบหูได้ยิน ไม่เท่าลิ้มลอง
เราจึงไม่รอช้าขอพิสูจน์ความอร่อยของติ่มซำและหมูย่างเมืองตรัง อาหารเช้ายอดนิยม
ที่แฝงด้วยมนต์เสน่ห์ของรสชาติที่ทำให้บรรยากาศบนโต๊ะอาหารดูมีสีสันอย่างน่าเหลือเชื่อ
หลังจากลองลิ้มชิมรสความร่อยของติ่มซำและหมูย่างเมืองตรังที่กรอบนอกนุ่มใน หวานหอม
กลิ่นเครื่องเทศที่ปรุงมาเป็นอย่างดีของร้านเรือนไทยติ่มซำ
สำหรับเราขอบอกได้เลยว่า “หรอยจังฮู้” หรือถ้าพูดแบบชาวจีนก็คือ
“เจิ้น เตอ ฮ่าว ชือ” ได้ยินแบบนี้แล้ว
รีบหาโอกาสมาลองลิ้มชิมรสอาหารเช้าที่เปี่ยมไปด้วยความอร่อยแบบคับคุณภาพคุ้มราคาให้ได้นะคะ
และสิ่งหนึ่งที่เรามองเห็นคือ ‘ติ่มซำ’ ไม่ได้เป็นเพียงอาหารที่ทานให้ท้องอิ่ม แต่ยังเป็นส่วนผสมหนึ่งของความสุขที่เกิดขึ้นบนโต๊ะอาหาร เพราะลักษณะของติ่มซำคือ คำเล็ก ชิ้นเล็ก ในแต่ละเข่งมีเพียง 2-4 ชิ้น ทำให้ผู้ที่มารับประทานจะต้องมาและรอด้วยความใจเย็น รับประทานไปพูดคุยไป เรียกเสียงหัวเราะรอยยิ้ม ให้ตลบอบอวลไปทั่วร้าน... นี่ซินะ มนต์เสน่ห์ของ ‘ติ่มซำ’ ที่ทำให้ทุกวันนี้ ยังครองใจทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติมาช้านาน…
และสิ่งหนึ่งที่เรามองเห็นคือ ‘ติ่มซำ’ ไม่ได้เป็นเพียงอาหารที่ทานให้ท้องอิ่ม แต่ยังเป็นส่วนผสมหนึ่งของความสุขที่เกิดขึ้นบนโต๊ะอาหาร เพราะลักษณะของติ่มซำคือ คำเล็ก ชิ้นเล็ก ในแต่ละเข่งมีเพียง 2-4 ชิ้น ทำให้ผู้ที่มารับประทานจะต้องมาและรอด้วยความใจเย็น รับประทานไปพูดคุยไป เรียกเสียงหัวเราะรอยยิ้ม ให้ตลบอบอวลไปทั่วร้าน... นี่ซินะ มนต์เสน่ห์ของ ‘ติ่มซำ’ ที่ทำให้ทุกวันนี้ ยังครองใจทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติมาช้านาน…
อาหารประจำเมืองตรัง
หมูย่างเมืองตรัง…ตำนานอาหารของฮ่องเต้…สู่สามัญชน
ต้นกำเนิดของหมูย่างเกิดขึ้นในประเทศจีน ประมาณหนึ่งพันปีมาแล้วในสมัยราชวงศ์ถัง การค้นพบวิธีการย่างหมูนั้นเป็นการบังเอิญ คือ ในขณะที่พ่อครัวในพระราชวังกำลังปรุงอาหาร ได้ทำหมูชิ้นหนึ่งตกลงไปในเตาถ่าน จนเนื้อสุกและหนังไหม้
พ่อครัวได้ลองหยิบมาชิมจึงรู้สึกว่าหมูชิ้นนั้นมีรสชาดหอมกรอบอร่อยกว่าเดิมมาก จึงทำให้เขาเริ่มมีความคิดว่า การนำหมูมาย่างเป็นอาหารจะอร่อยกว่าการนำไปใช้ทำอาหารอย่างอื่น ดังนั้นพ่อครัวจึงได้ทดลองนำหมูมาย่างแล้วนำขึ้นถวายฮ่องเต้ ปรากฎว่าฮ่องเต้โปรดมาก เนื่องจากหมูพอ ย่างสุกพอเหมาะหนังจะมีสีเหลืองดุจทองคำสุกอร่าม ฮ่องเต้จึงตั้งชื่อหมูย่างนี้ว่า “หมูทอง” ทำให้ชาวจีนใช้ชื่อนี้เรียกมาจนถึงปัจจุบัน
เมื่อเวลาผ่านมานับพันปี วิชาการหมูย่างก็ได้เผยแพร่โดยการสืบทอดตระกูลของพ่อครัว จนกระทั่งมาถึงมณฑลกวางตุ้ง ซึ่งเป็นมณฑลที่ชาวเมืองมีฝีมือในการปรุงอาหาร จะเห็นได้จากอาหารจีนที่มีรสอร่อยที่สุดจะปรุงโดยพ่อครัวชาวกวางตุ้งทั้งสิ้น ดังนั้นจากเดิมหมูย่างซึ่งเป็นอาหารเฉพาะของฮ่องเต้ก็เริ่มแพร่หลายมาเป็นอาหารของสามัญชน แต่ถือว่าหมูย่างเป็นอาหารระดับฮ่องเต้
เมื่อประมาณ 100 ปีก่อนนี้ ชาวจีนในมณทลกวางตุ้งซึ่งอยู่ใกล้ทะเล ได้เริ่มอพยพออกจากประเทศโดยทางเรือ เพื่อเสาะหาแผ่นดินทางทะเลใต้คือประเทศไทย ซึ่งร่ำลือกันว่ามีความอุดมสมบูรณ์กว่าประเทศจีนมาก จึงได้ลงเรือกันมาผจญภัยพร้อมกันทั้งหมู่บ้านและมีบางส่วนได้เดินทางเข้ามาประเทศไทย โดยขึ้ยฝั่งที่อำเภอกันตัง หรือปากแม่น้ำตรัง และได้มาบุกเบิกตั้งรกรากอยู่ที่จังหวัดตรัง ชาวจีนที่อพยพมานี้มีหลายอาชีพส่วนใหญ่จะมาบุกเบิกทำไร่พริกไทย จึงได้ตั้งชื่อจังหวัดตรังว่า “เมืองพริกไทย” ชาวจีนเหล่านี้จึงได้มีการเลี้ยงหมูพันธุ์เล็ก ซึ่งได้นำลงเรือมาด้วยในตำบลทับเที่ยง ปัจจุบันคืออำเภอเมือง จังหวัดตรัง ปรากฎว่าได้ผลดีมาก ต่อมาได้มีคนกลุ่มหนึ่งนำหมูมาชำแหละขาย ซึ่งก็คือต้นตระกูลของร้านฟองจันทร์ หลังจากนั้นร้านฟองจันทร์ได้รับชาวจีนคนหนึ่งมาจากมณฑลกวางตุ้งชื่อนายซุ่น มีความสามารถในการย่างหมูมาก หมูที่ย่างจะมีรดชาดกลมกล่อมและหนังที่กรอบ สมัยนั้นจังหวัดตรังมีผู้ที่ย่างหมูได้เพียงคนเดียวเท่านั้น ต่อมาเมื่อนายซุ่นมีอายุมากขึ้นก็ไดฝึกผู้ช่วยขึ้นมา วิชาการย่างหมูจึงได้แพร่หลายจากรุ่นสู่รุ่นตั้งแต่นั้นมา
หมูย่างนั้นเดิมเป็นอาหารที่ใช้ในการเซ่นไหว้ของหมู่คนจีน ในงานศพ งานมงคล งานเทศกาลต่างๆ และประกอบพิธีกรรมสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือการบนบานสานกล่าวตามวิถีชีวิต ซึ่งยังสืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน ต่อมาหมู่คนจีนในเมืองตรังนิยมนำหมูย่างมากินกับกาแฟ เป็นปกติวิสัยมานานแล้ว ความนิยมกระจายมาสู่หมู่คนตรังชั้นกลางที่เป็นข้าราชการ นักธุรกิจ ในเขตเมืองตรังและชานเมืองเป็นลำดับ จนกลายเป็นวัฒนธรรมการกินกาแฟกับหมูย่างในยามเช้า ที่ไม่เหมือนใคร และไม่มีใครเหมือน หมูย่างเมืองตรังจึงกลายเป็นเอกลักษณ์ของจังหวัดตรัง
หมูย่างเมืองตรัง อาหารพื้นเมืองจากที่นิยมกันคับแคบในวงจำกัด ได้รับการส่งเสริมและสนับสนุนจากหอการค้าจังหวัดตรัง ด้วยการจัดงานเทศกาลหมูย่างเมืองตรังขึ้นตั้งแต่ ปี 2533 ต่อเนื่องทุกปี จนถึงปัจจุบัน ประกอบกับการได้โหนกระแสนโยบายการท่องเที่ยวของรัฐบาล จึงกลายเป็นสินค้าที่มีชื่อเสียงไปทั่วประเทศ กลายเป็นของแปลกของโปรด ของประจำบ้านประจำเมืองในที่สุด
ขนมเค้กจังหวัดตรัง…ของฝากที่เป็นเอกลักษณ์ประจำจังหวัด
ขนมเค้กจังหวัดตรัง ถือเป็นอาหารพื้นเมืองที่มีรสชาดหอมหวาน นุ่ม เนื้อละเอียด และมีรูปแบบที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะ คือ รูปทรงวงแหวนมีรูตรงกลาง สูตรการทำขนมเค้กที่ตกทอดสืบมาหลายชั่ว อายุคน ลูกหลานชาวตรังและนักท่องเที่ยวนิยมนำไปเป็นของฝากแก่เพื่อนฝูง ญาติมิตร ผู้หลักผู้ใหญ่ จนกลายเป็นของฝากประจำจังหวัดตรัง ใครมาเมืองตรังเป็นต้องซื้อติดมือกลับไป
ความจริงขนมเค้กเมืองตรัง ไม่ได้เริ่มต้นนับหนึ่งจากขนมเค้กเมืองตรัง แต่เป็นการพัฒนา มาจากขนมไข่ ของหมู่คนจีนทั่วๆไปตามหัวเมืองต่างๆ ที่คนจีนไหหลำอพยพมาตั้งรกราก คนตรังยุคแรก เรียกว่า ขนมไข่ไก่ นิยมใส่ขันหมากไปขอเมีย ไปไหว้เมีย เพียงแต่หมู่คนจีนเมืองตรังคิดรูปแบบขนมไข่ไก่ใหม่ แทนที่จะเป็นก้อนกลมๆ เล็กๆ เท่ากำปั้นเด็ก ห่อกระดาษแก้ว กระดาษฟางใส ห่อละสามสี่ก้อน ก็พัฒนามาเป็นรูปแบบเค้กวันเกิด บรรจุกล่องสี่เหลี่ยม เช่นเดียวกับเค้กวันเกิด ต่างกันตรงมีตรา มียี่ห้อที่กล่อง และแต่งหน้าด้วยลูกเกด เติมกลิ่นปรุงแต่งหลายรสชาด จุดกำเนิดของการผลิตขนมเค้ก เป็นของกินคู่กับกาแฟ ซึ่งชาวจีนไหหลำเรีกว่า “ขนมเก็ก” และพัฒนาต่อมาเป็นลำดับ โดยสูตรในการทำขนมเค้กทั้งหมด ยังคงส่วนประกอบหลักของขนมไข่ของคนจีนทั่วๆไป
เมืองตรังมีการรวมตัวกันพัฒนาขนมเค้กในนาม “ชมรมขนมเค้กจังหวัดตรัง” โดยมีนายยี่เค้ง วงศ์สัมพันธ์ เจ้าของร้านเค้กรสเลิศ เป็นประธานชมรม มีการเผยแพร่และจัดสอนแก่ผู้ผลิตรายย่อยโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย เพื่อเป็นการสนับสนุนให้เค้กตรังมีรสชาด คุณภาพ และมาตรฐานที่เหมือนกัน
ปัจจุบันจังหวัดตรังจึงมีการทำขนมเค้ก เป็นกิจการในครัวเรือนที่มีการผลิตกันอย่างแพร่หลาย จำนวน 81 ราย มีรสต่างๆหลากหลาย เช่น รสกาแฟ รสใบเตย เค้กสามรส เค้กสี่รส เค้กนมสด เค้กมะพร้าว เค้กเผือก เค้กส้ม เค้กชาเขียว เค้กขนุน เค้กลิ้นจี่ เค้กเนย เค้กพุทรา เค้กผลไม้ เค้กงาดำ เค้กอบกรอบ ฯลฯ ขนมเค้กเมืองตรัง จึงเป็นที่รู้จักของคนทั่วประเทศ เป็นของฝากที่เป็นเอกลักษณ์ จากเมืองตรัง ที่ใครได้รับแค่เห็นกล่องก็บอกได้ว่านี่เป็นขนมเค้กเมืองตรัง ก็เพราะขนมชนิดนี้บรรจุกล่องแบบไม่เหมือนใคร
|
|||
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น